เคล็ดลับในการสร้างเสน่ห์ทำได้อย่างไร
1. รอยยิ้ม คนยิ้มเก่งมีเสน่ห์กว่าคนไม่ยิ้ม และการยิ้มก็ไม่ใช่สักแต่ว่ายิ้ม ต้องยิ้มให้สวย ยิ้มให้จริงใจ และมีชีวิตชีวา ยิ้มเป็นเครื่องมือผูกมิตร เป็นกุญแจไขสู่บทสนทนาและความคิด และนำไปสู่ความก้าวหน้ามหาศาล ฉะนั้น หมั่นยิ้มกันไว้ให้เป็นธรรมชาติ ยิ้มด้วยหัวใจ
2. พูดดี พูดเพราะ พูดเป็น วัตถุประสงค์แรกของการพูด คือการตั้งใจหมายสื่อสาร ดังนั้นต้องพูดให้เป็น สื่อสารให้รู้เรื่อง จึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล แต่นั่นยังมิใช่เสน่ห์ เป็นแค่คุณสมบัติเบื้องต้นของคนพูดเป็นแต่เสน่ห์นั้น ต้องพัฒนาไปถึงขั้น "คนพูดดี" ด้วย พูดดี หมายถึงพูดเป็นบวก และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะพูด มากหรือน้อยแค่ไหน พูดให้จับใจ ได้สาระ ได้ความคิดที่เฉียบคม และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม ได้ใจคนฟัง พูดด้วยท่าทางและถ้อยคำที่สุภาพ ดึงดูดใจ เพลิดเพลิน และเกิดประโยชน์ คนที่พูดดี พูดเพราะ พูดเป็น ยิ่งกว่ามีเสน่ห์เสียอีก เพราะสิ่งนี้คือความสามารถ คือศิลปะที่เรียกว่า วาทศิลป์ หลายอาชีพต้องอาศัยวาทศิลป์นี้ จึงจะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเต็มภาคภูมิ
3. ความดูดี ดูดีที่ว่านี้ ต้องไล่กันมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทีเดียว หากทั้งหมดเป็นองค์ประกอบที่เสริมกันได้ ก็จะกลายเป็นเสน่ห์ที่โดดเด่นมาก ไล่มาตั้งแต่สุขภาพเส้นผมที่แข็งแรง สลวย มีน้ำหนัก และเลือกทรงผมที่รับกับใบหน้า ทำให้ดูมีสง่าราศี และน่ามอง ใบหน้าก็ต้องผุดผ่อง สะอาด เรียบเนียน และเปล่งปลั่ง เสื้อผ้าเหมาะสมกับกาลเทศะ รูปร่าง สีผิว และหน้าที่การงาน รองเท้าเข้ากับชุด และสะอาด เดินเหินคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง และสง่างาม เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความดูดีที่เปี่ยมเสน่ห์ทั้งสิ้น
4. น้ำใจดี น้ำใจเป็นเสน่ห์ของคน คนเห็นแก่ตัวไม่มีใครรัก ไม่มีคนชื่นชม ไม่มีคนอยากเข้าใกล้ เพราะใจเขาดำ อย่าเป็นคนใจดำ อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ต้องรู้จักมีน้ำใจ ให้ก็เป็น รับก็เป็น และเห็นแก่ทุกข์สุข ความเหนื่อยยาก ความถูกต้องเป็นธรรม หรือโอกาสที่สามารถหยิบยื่นให้คนอื่นได้ด้วยน้ำใจแสดงออกได้ตลอดเวลา ทั้งกับคนใกล้ตัว คนในครอบครัว ในที่ทำงาน ในชุมชน และในสังคม
5. รู้จักรับฟังผู้อื่น คนที่รู้จักฟังคนอื่น น่ารักยิ่งกว่าคนที่พูดดีๆ ให้คนอื่นฟังได้ ทักษะการพูดให้ดี ใครๆ ก็ฝึกได้ แต่อุปนิสัยในการฟังและรับฟังคนอื่นเป็นสัญชาตญาณ เป็นอุปนิสัย ซึ่งหากไม่ได้รับการปลูกฝังมา ก็จะเป็นคนที่ไม่รับฟังใครโดยไม่รู้ตัว ดื้อ และยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางการรู้จักรับฟัง ไม่ได้แปลว่าแค่นั่งฟังคนอื่นพูด ทว่าหมายถึงการนำสิ่งนั้นไปขบคิด ไตร่ตรอง และแสดงให้เขารู้สึกว่า เราเป็นคนเปิดกว้าง ให้เกียรติ และเห็นความสำคัญของคนทุกคน และทุกความคิด ไม่ได้ยึดเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่หรือเห็นแต่ตัวเองว่าสำคัญ เก่งกาจหรือดีเด่นกว่าใครอื่นเขา
คนที่มีบุคลิกภาพดีสามารถสังเกตได้จากอะไรบ้าง
1. ความกระตือรือร้น คนทุกคนต้องคึกคักเข็มแข็ง กระปรี้กระเปร่า เพราะฉะนั้นเวลาเดิน ต้ององอาจ อกผ่ายไหลผึ่ง อย่าเดินอ้อยสร้อย หมดเรียวหมดแรง หรือเดินหมดอาลัยตายอยาก คำว่า “ ความกระตือรือร้น” ในที่นี้ นอกจากการเดิน การวางท่าวางตัวที่ดูคึกคักแล้ว การทำงานที่กระตือรือร้น ไม่เฉื่อยแฉะ ไม่เช้าชามเย็นชาม ก็ถือว่าอยู่ในการสร้างพลังแห่งบุคลิกภาพเช่นกัน
2. ความมีชีวิตชีวา คนเราจะมีชีวิตชีวา ใบหน้าต้องไม่เศร้า ไม่หงอยเหงา ทางที่ดี “ หน้าต้องมีรอยยิ้มเข้าไว้ ” มีคนคนหนึ่งชอบสร้างพลังแห่งความมีชีวิตชีวามาก เขาบอกว่าคนเราถ้าได้ทำไรตามที่ตัวเองชอบ จะมีชีวิตชีวามาก
3. ความต้องตา ต้องใจ คนที่จะมีพลังแห่งบุคลิกภาพ ใครมองแล้วต้อง “ต้องตา” เขาเรียก “มาดน่ามอง” ด้วยเหตุนี้เองคนสวยคนหล่อจึงได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะจะมีเสน่ห์แห่งใบหน้าและเรือนกาย ที่ทำให้ต้องชะงักงัน ตะลึงแล และหญิงคอยชะแง้มองหา อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่หล่อไม่สวยก็อาจจะต้องตาต้องใจได้ ถ้าแต่งตัวดี มีความทันสมัย วางท่าวางทางดี คนก็เหลียวมองได้เช่นกัน
4. ความมีรสนิยมเหมาะสม หากเราทำอะไรที่ทำให้ผู้คนเขาพึงใจ พอใจ ด้วยความเหมาะสมใจแล้ว ใครๆ ก็คงจะรัก ใครๆ ก็คงจะชอบ และพอคนรัก คนชอบ เขาก็มองเราดูดีไปหมด บุคลิกภาพเลยดูดีตามไปด้วย พูดถึงคำว่า “รสนิยม” ต่ออีกนิด ถ้าเราสังเกตให้ดี คำคำนี้ชอบใช้พูดกันมาก โดยเฉพาะเวลาใคร่ทำอะไรถูกอกถูกใจเรา เช่น เขาแต่งตัวดี เราเรียกว่าแต่งตัวมีรสนิยมดี เขาถือกระเป๋ายี่ห้อดีเด่นดังยี่ห้อหนึ่ง ก็บอกแหม เขาเข้าใจเลือกของใช้ เช่น กระเป๋ายี่ห้อนั้น แสดงว่ารสนิยมดีมาก เป็นต้น
5. ความสะอาด คนที่จะมีบุคลิกภาพดีนั้น เรื่องความสะอาดของร่างกาย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนับว่าสำคัญมาก ถ้าสกปรก บุคลิกภาพจะติดลบทันที ซึ่งเรื่องของความสะอาดนี้ บางคนรวมไปถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบกาย เช่น ห้องทำงาน เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ด้วย เรียกว่าต้องสะอาดไปหมด
6. ความมีสง่าราศี เรื่องความมีสง่าราศีนี้ ถ้าจะแปลกันทีละคำ คำว่า “สง่า” หมายถึง “ผ่าเผย ผึ่งผาย ภาคภูมิดี มีภูมิฐาน น่าเกรงขาม น่าเคารพนับถือ” ส่วนคำว่า “ราศี” หมายถึง “ความสง่า ผิวพรรณมีน้ำมีนวลที่แสดงความมีบุญวาสนาของคน” สรุปรวมแบบผมก็คือ “เท่”แบบ “มาดเข้ม”
7. ความเป็นผู้ดี พูดถึงความเป็น “ผู้ดี” ในความหมายนี้ หมายถึง คนที่กิริยาวาจาและจิตใจที่ดีงาม แต่บางคนที่เข้าใจผิดคิดว่าคนที่มั่งมีหรือคนที่มีตระกูลสูง หรือคนที่มีบรรดาศักดิ์เท่านั้นจึงเรียกว่า “ผู้ดี” ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะบุคคลเหล่านี้หากเขามีกิริยาวาจาหยาบคายและจิตใจทราม ก็หานับว่าเป็นผู้ไม่ดี อนึ่ง ความเป็น “ผู้ดี” นี้ห้ามเป็นผู้ดีแบบ “ผู้ดีแปดสาแหรก” ซึ่งหมายถึงคนที่ดัดจริต หรือทำอะไรไม่เป็น
2. ความมีชีวิตชีวา คนเราจะมีชีวิตชีวา ใบหน้าต้องไม่เศร้า ไม่หงอยเหงา ทางที่ดี “ หน้าต้องมีรอยยิ้มเข้าไว้ ” มีคนคนหนึ่งชอบสร้างพลังแห่งความมีชีวิตชีวามาก เขาบอกว่าคนเราถ้าได้ทำไรตามที่ตัวเองชอบ จะมีชีวิตชีวามาก
3. ความต้องตา ต้องใจ คนที่จะมีพลังแห่งบุคลิกภาพ ใครมองแล้วต้อง “ต้องตา” เขาเรียก “มาดน่ามอง” ด้วยเหตุนี้เองคนสวยคนหล่อจึงได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะจะมีเสน่ห์แห่งใบหน้าและเรือนกาย ที่ทำให้ต้องชะงักงัน ตะลึงแล และหญิงคอยชะแง้มองหา อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่หล่อไม่สวยก็อาจจะต้องตาต้องใจได้ ถ้าแต่งตัวดี มีความทันสมัย วางท่าวางทางดี คนก็เหลียวมองได้เช่นกัน
4. ความมีรสนิยมเหมาะสม หากเราทำอะไรที่ทำให้ผู้คนเขาพึงใจ พอใจ ด้วยความเหมาะสมใจแล้ว ใครๆ ก็คงจะรัก ใครๆ ก็คงจะชอบ และพอคนรัก คนชอบ เขาก็มองเราดูดีไปหมด บุคลิกภาพเลยดูดีตามไปด้วย พูดถึงคำว่า “รสนิยม” ต่ออีกนิด ถ้าเราสังเกตให้ดี คำคำนี้ชอบใช้พูดกันมาก โดยเฉพาะเวลาใคร่ทำอะไรถูกอกถูกใจเรา เช่น เขาแต่งตัวดี เราเรียกว่าแต่งตัวมีรสนิยมดี เขาถือกระเป๋ายี่ห้อดีเด่นดังยี่ห้อหนึ่ง ก็บอกแหม เขาเข้าใจเลือกของใช้ เช่น กระเป๋ายี่ห้อนั้น แสดงว่ารสนิยมดีมาก เป็นต้น
5. ความสะอาด คนที่จะมีบุคลิกภาพดีนั้น เรื่องความสะอาดของร่างกาย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนับว่าสำคัญมาก ถ้าสกปรก บุคลิกภาพจะติดลบทันที ซึ่งเรื่องของความสะอาดนี้ บางคนรวมไปถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบกาย เช่น ห้องทำงาน เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ด้วย เรียกว่าต้องสะอาดไปหมด
6. ความมีสง่าราศี เรื่องความมีสง่าราศีนี้ ถ้าจะแปลกันทีละคำ คำว่า “สง่า” หมายถึง “ผ่าเผย ผึ่งผาย ภาคภูมิดี มีภูมิฐาน น่าเกรงขาม น่าเคารพนับถือ” ส่วนคำว่า “ราศี” หมายถึง “ความสง่า ผิวพรรณมีน้ำมีนวลที่แสดงความมีบุญวาสนาของคน” สรุปรวมแบบผมก็คือ “เท่”แบบ “มาดเข้ม”
7. ความเป็นผู้ดี พูดถึงความเป็น “ผู้ดี” ในความหมายนี้ หมายถึง คนที่กิริยาวาจาและจิตใจที่ดีงาม แต่บางคนที่เข้าใจผิดคิดว่าคนที่มั่งมีหรือคนที่มีตระกูลสูง หรือคนที่มีบรรดาศักดิ์เท่านั้นจึงเรียกว่า “ผู้ดี” ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะบุคคลเหล่านี้หากเขามีกิริยาวาจาหยาบคายและจิตใจทราม ก็หานับว่าเป็นผู้ไม่ดี อนึ่ง ความเป็น “ผู้ดี” นี้ห้ามเป็นผู้ดีแบบ “ผู้ดีแปดสาแหรก” ซึ่งหมายถึงคนที่ดัดจริต หรือทำอะไรไม่เป็น
คิดว่าอาชีพใดบ้างต้องมีการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อความสำเร็จ
ผมคิดว่าทุกอาชีพต้องมีการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งหมด เพราะในอาชีพที่ต่างกัน ก็มีมุมมองของบุคลิกภาพที่ต่างกัน โดยส่วนใหญ่คนจะคิดว่า อาชีพที่ควรจะพัฒนาบุคลิกต้องเป็นอาชีพที่พบปะผู้คนบ่อยๆ มีการติดต่อกับคนอื่นบ่อยๆ หรือต้องขายภาพลักษณ์ของตัวเอง เช่น ดารา นักแสดง นายแบบ นางแบบ นักธุรกิจ เทรนเนอร์ พนักงานต้อนรับ ผู้ประกาศข่าว ครูอาจารย์ เป็นต้น แต่ลืมคิดไปว่าอาชีพที่เป็นเบื้องหลัง หรือที่ไม่ค่อยพบปะผู้คน เช่น พนักงานออฟฟิศ พ่อครัว เป็นต้น ก็จำเป็นจะต้องพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง ทำไปเพื่อเป็นบุคลิกที่ดี ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็ชอบ ไม่มีคนเกลียด เพราะบางทีด้วยอาชีพของเราอาจจะไม่พบปะผู้คนมากนัก แล้วในชีวิตประจำวันล่ะ จะไม่เจอกับคนอื่นๆเชียวหรือ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้น ทุกคนทุกอาชีพจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองเพื่อตนเอง การงาน สังคม และบางทีถ้ามีโอกาสมาถึงเราอาจได้เจอกับความสำเร็จเร็วขึ้นกว่าคนอื่นๆจากการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองก็เป็นได้
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ ^^